พระพุทธกันทรวิชัย อภิสมัยธรรมนายก
ที่มาของการหล่อพระองค์ปฐม
พระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งซึ่งสร้างขึ้นในโอกาสที่กรุงรัตนโกสินทร์มีอายุครบ 200 ปี นับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ คู่กับเมืองมหาสารคามที่ภาคภูมิใจ พระพุทธรูปองค์นี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราชเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเททองด้วยพระองค์เองพร้อมทั้งโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามอันเป็นมหามงคลให้ว่า “พระพุทธกันทรวิชัย อภิสมัยธรรมนายก” (หนังสือสำนักราชเลขาธิการ ที่ รล 0002/12946 ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2524) ในวโรกาสเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อันเชิญพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ประดิษฐานบนผ้าทิพย์ด้านหน้าของฐานพระพุทธรูปด้วย (หนังสือสำนักราชเลขาธิการ ที่ รล 0002/13003 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2524) ปัจจุบันนี้ พระพุทธกันทรวิชัยอภิสมัยธรรมนายก ประดิษฐานอยู่ที่สถาบันวิจัยศิลปวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระกันทรวิชัย”
การสร้าง สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีความคิดริเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2523 (ขณะนั้นใช้ชื่อว่า ศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคามนายอาคม วรจินดา เป็นประธานศูนย์ฯ และนายบุญเลิศ สดสุชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ พร้อมทั้งคณาจารย์จากคณะต่าง ๆ เป็นกรรมการ) คณะกรรมการสถาบันฯ ได้ทำการศึกษาวิจัยพระพิมพ์ดินเผาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมุ่งค้นหาพระที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวอีสาน เพื่อจะได้ทำการขยายสร้างเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ต่อไป การศึกษาค้นคว้าพระพิมพ์ดินเผาในแหล่งต่าง ๆพบว่า พระพิมพ์ดินเผาในแหล่งต่าง ๆ พบว่า พระพิมพ์ดินเผาจากบ้านโนนเมือง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม มีความงามเป็นเลิศ เมื่อเทียบกับพระพิมพ์และพระพุทธรูปจากแหล่งอื่น ๆ ได้แก่ เมืองฟ้าแดดสงยาง ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ เมืองพยัคฆภูมิพิสัยจังหวัดมหาสารคาม นครจัมปาศรี อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม เป็นต้น
พระพิมพ์ดินเผาที่เห็นว่าเหมาะสมในการนำไปขยายเป็นพระพุทธรูป คือ พระพิมพ์จากแหล่งกันทรวิชัย พิมพ์ใหญ่ ปางสมาธิเพชร ขนาดกว้าง 5 นิ้วครึ่ง สูง 9 นิ้ว เป็นพุทธศิลปะในสมัยปาละวะหรือคุปตะตอนปลาย มีอายุความเก่าซึ่งสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 13 สกุลศิลปะคุปตะและปาละวะ แพร่จากชมพูทวีปเข้าสู่สุวรรณภูมิพร้อมกับคณะธรรมทูตพระพุทธศาสนาสกุลศิลปะคุปตะ มีศูนย์กลางอยู่ที่ภาคเหนือของอินเดียเป็นศิลปะแบบอินเดียแท้ไม่มีอิทธิพลของชาติอื่นมาปะปน
พระพุทธรูปมีสัดส่วนและการแสดงออกเหนือกว่าสกุลศิลปะอื่น ๆ หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งจะเป็นปรัชญาธรรมทางวัตถุแผงอยู่ภายใน มีลักษณะเคร่งขรึมสงบ นับว่าเป็นสกุลศิลปะที่เต็มไปด้วยอุดมคติอย่างสมบูรณ์ เข้าสู่ประเทศไทยประมาณ พ.ศ. 810 – 1190
สกุลศิลปะปาละวะมีศูนย์กลางอยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย ศิลปะสกุลนี้ได้พัฒนาไปจากสกุลคุปตะ พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นโดยฝีมือช่างสกุลนี้มีส่วนอ่อนช้อยประกอบด้วยเส้นโค้งมากกว่าสกุลช่างศิลปะคุปตะและมีความเคร่งขรึมมากกว่า ดังนั้นในประวัติการสร้างพระพุทธรูปในอินเดียสกุลนี้เป็นพระพุทธรูปที่มีความอ่อนช้อยละมุนละไมเป็นครั้งแรก ลักษณะพระพักตร์เป็นทรงรูปไข่มีความอิ่มเอิบแต่งเป็นพิเศษ พระหนุ (คาง) สองชั้นในส่วนพระวรกายเพิ่มเส้นรอบนอกมีเส้นโค้ง
ทั้งด้านหน้าและด้านข้างชัดเจน ศิลปะปาละวะเข้าสู่ประเทศไทยพร้อมกับเผยแพร่พระพุทธศาสนาประมาณปี พ.ศ. 900 – 1300
ประวัติพระพิมพ์ดินเผากันทรวิชัยเป็นพระปางสมาธิเพชร ในสมัยศิลปะปาละวะหรือคุปตะตอนปลาย มีความเก่าแก่ ประมาณ 1300 ปี ได้ขุดพบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2514 โดย นายทองสา วรบุตร อยู่บ้านเลขที่ 75 บ้านโนนเมือง ตำบลคันธารราษฎร์ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ได้ขุดหลุมใต้ต้นค้อใหญ่ในบริเวณบ้านนายใส นางเทียบ พันจันทัพ ลึกประมาณหนึ่งศอก พบพระพิมพ์ดินเผาจำนวนมากนับร้อยองค์ มีสามขนาด คือ ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กจากคำบอกเล่าของ นางเทียบ พันจันทัพ กล่าวว่า ชาวบ้านแถบนี้ได้เคยพบเป็นพระพิมพ์เหล่านี้มา
นานแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดกล้านำไปเก็บไว้ในบ้านเรือนปล่อยวางทิ้งสุมกองไว้ตามโคนต้นไม้ จนกระทั้งนายทองสา วรบุตร ซึ่งเป็นบุตรเขยไปขุดพบ เมื่อขุดได้นายทองสานำไปให้ผู้สนใจเช่าบูชาจนเป็นที่โจษขานกันทั่วไป เป็นเหตุให้ชาวบ้านต่างพากันขุดค้นหาพระพิมพ์ดังกล่าวในเวลาต่อมา
การขุดพบครั้งที่ 2 หลังจากการพบพระพิมพ์ดินเผาครั้งแรกไม่นานชาวบ้านแถบบ้านโนนเมืองได้พากันขุดบริเวณเนินดินทางทิศตะวันตกใกล้กันบริเวณที่พบครั้งแรก ซึ่งเป็นพื้นที่สวนของนายพุธ นางล้วน อัครเศรษฐัง ลักษณะพื้นที่เป็นเนินดินสูงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นฐานเจดีย์โบราณ การขุดค้นครั้งนี้พบพระพิมพ์ดินเผาทั้งสามขนาด เช่นเดียวกันครั้งแรก ชาวบ้านนำไปให้เช่าบูชาเช่นเดิม บางรายเก็บไว้บูชาแต่ไม่ช้าก็ให้เช่าไปจนหมด
การขุดพบครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2519 ชาวบ้านได้ขุดบริเวณด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้านโนนเมืองในบริเวณที่ดินของนายทอง นางเอี่ยม รังสี ปรากฏว่าพบพระพิมพ์ดินเผาเป็นจำนวนมาก มีสองแบบ คือ แบบพิมพ์ใหญ่และแบบพิมพ์กลาง
การขุดพบพระพิมพ์ดินเผาทั้งสามครั้ง มีพระพิมพ์ที่สมบูรณ์และแตกหักปะปนกัน พระพิมพ์ดินเหล่านี้มีลักษณะสวยงามมาก เป็นพระพิมพ์ดินเผาที่มีคุณค่าทางศิลปะอย่างสูงยิ่ง ฝีมือการปั้นและการเผาประณีตเป็นพิเศษแฝงไว้ด้วยปรัชญาธรรมทางวัตถุอันลึกซึ้ง กล่าวคือ เป็นพระปางสมาธิเพชรประทับนั่งวิปัสสนาอยู่บนดอกบัวในแบบพุทธศาสนานิกายมหายาน เพื่อให้หลุดพ้นจากห้วงกิเลสตัณหาและไฟราคะ ซึ่งเป็นวัฏสงสารมุ่งสู่นิพพานหรือสุคติภูมิ ตามคตินิยมแห่งนิกายสุขาวดี
คณาจารย์แห่งสถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสานมีความเห็นพ้องต้องกันว่าให้เลือกพระพิมพ์ดินเผากันทรวิชัยพิมพ์ใหญ่มาเป็นต้นแบบเพื่อสร้างพระพุทธรูปสำคัญ ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นพระพิมพ์ที่สมบูรณ์มีคุณค่าทางศิลปะและปรัชญาธรรมอันสูงยิ่ง กล่าวคือ มีลักษณะแสดงถึงเชื้อชาติเป็นชาวพื้นเมืองอย่างเด่นชัด พระพักตร์อิ่มเอิบบริสุทธิ์ แสดงถึงการหลุดพ้นจากกาลเวลาประทับนั่งบนฐานดอกบัวหงาย อันหมายถึงปัญญาอันเป็นยานนำไปสู่พระนิพพาน เรือนแก้วด้านหลังขององค์พระแสดงถึงรูปคลื่นกิเลสตัณหาและไฟราคะ อันเป็นวัฏฏะของการเวียนว่ายตายเกิด องค์พระประทับนั้นในลักษณะสมาธิวิปัสสนา เพื่อมุ่งสู่สัจธรรม คือ ความหลุดพ้น โดยมีดินแดนแห่งพระนิพพานเป็นจุดหมายปลายทาง
ด้วยเหตุผลดังกล่าวมาข้างต้น คณาจารย์ของสถาบันฯ ต่างเห็นชอบในหลักการว่า น่าจะได้ทำการขยายแบบจากพระพิมพ์ดินเผากันทรวิชัยหล่อเป็นพระพุทธรูปด้วยทองสัมฤทธิ์ เพื่อเป็นพระประธานที่มีพุทธลักษณะอันงดงาม แฝงไว้ด้วยปรัชญาธรรมอันสูงส่ง สมควรถือเป็นแบบฉบับหรือเอกลักษณะแห่งพระพุทธรูปแบบอีสานสืบไป ดังนั้น จึงได้มอบหมายให้ นายอาคม วรจินดา นายบุญเลิศ สดสุชาติ และ นายสมชาย ลำดวน นำความเข้าปรึกษากับผู้บริหารมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม รศ.ดร.ชาตรี เมืองนาโพธิ์ รองอธิการบดี ศ.ดร. นิพนธ์ ศศิธร อธิการบดี ร้อยตรีกิตติ ประทุมแก้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม พลโทลักษณ์ ศาลิคุปต์ โดยแม่ทัพกองทัพภาคที่ 2 รับเป็นประธานกรรมการและได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานขึ้น โดยคำสั่งกองทัพภาคที่ 2 ส่วนหน้า และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคที่ 2 ที่ 1061/2523 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานสร้างพระประธานกันทรวิชัย สั่ง ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2523 คณะกรรมการประกอบด้วยแม่ทัพกองทัพภาคที่ 2 เป็นประธานกรรมการอำนวยการ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และ พล.ต.ดัมพ์ ประยูรศร รองแม่ทัพภาคที่ 2 พล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก และผู้ว่าราชการจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทุกจังหวัด เป็นกรรมการอำนวยการ หัวหน้าส่วนราชการทุกส่วนในจังหวัดมหาสารคาม เป็นกรรมการดำเนินงาน ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน เป็นกรรมการ
คณะกรรมการได้มอบหมายให้นายบุญเลิศ สดสุชาติ อาจารย์ภาควิชาภูมิศาสตร์และนายสุพิน ปรีดี อาจารย์หัวหน้าหมวดศิลปศึกษา โรงเรียนเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นผู้ศึกษาค้นคว้าประวัติ การค้นพบพระพิมพ์และข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำเอกสารประกอบการสร้างพระประธาน
คณะกรรมการได้ดำเนินการจัดหาช่างปั้นพระฝีมือดี คือ นายสุพรรณ สมพงษ์ จากกรุงเทพมหานคร ให้เป็นช่างขยายและปั้นจากแบบพระพิมพ์ดินเผากันทรวิชัยพิมพ์ใหญ่ ปางสมาธิเพชร ขนาดกว้าง 5 นิ้วครึ่ง สูง 9 นิ้ว ใช้เวลาปั้น 5 เดือน จึงแล้วเสร็จได้หุ่นพระประธานเป็นหุ่นแกนทราย หน้าตักกว้าง 35 นิ้ว สูง 82 นิ้ว เพื่อหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์โดยวิธีหุ่นไล่ขี้ผึ้งอันเป็นเทคโนโลยีจากภูมิปัญญาดั้งเดิมของช่างไทยมาแต่โบราณ
การสร้างพระมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
- เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจของสาธุชนทั่วไปให้ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย
- เพื่อให้เป็นพระพุทะรูปที่มีเอกลักษณ์อันเป็นแบบฉบับของอีสาน
- เพื่อฟื้นฟูภูมิปัญญาดั้งเดิมในการหลอมหล่อโลหะของชาวอีสานอันมีมาแต่โบราณกาล
การดำเนินงานเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2523 ทุนดำเนินการในชั้นเริ่มแรกได้รับการสนับสนุนจากบรรดาพ่อค้าคหบดีชาวมหาสารคาม จำนวน 19 คน เป็นเงิน 95,000 บาท โดยให้เช่าพระบูชารูปเหมือนของ เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต ที่นายอาคม วรจินดา เป็นผู้ปั้นและหล่อ และเพื่อให้การดำเนินการสร้างพระประธานต้นแบบของภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้บรรลุถึงเป้าหมาย จึงได้จัดสร้างเป็นพระพุทธรูปบูชาหน้าตัก 12 นิ้ว ขึ้นเป็นจำนวน 99 องค์ โดยได้ทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อพระราชทานให้เป็นพระประจำเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 17 จังหวัด กองบัญชาการตำรวจภูธร เขต 2 และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ รวมเป็นจำนวน 20 องค์ ส่วนที่เหลือนั้นได้มีผู้ศรัทธาบูชาไว้เป็นจำนวน 79 องค์ (องค์ละ 1 หมื่นบาท) ใช้เป็นทุนดำเนินการในการหล่อพระประธานต้นแบบและยิ่งใหญ่สมเจตนารมณ์ของคณะกรรมการและอยู่ในความทรงจำของพุทธศาสนิกชนและชาวอีสานตลอดมา
ต่อมาในวันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2524 ได้มีพิธีนั่งปรกทองที่จะใช้หล่อพระประธานโดยพระเกจิอาจารย์จากจังหวัดในภาคอีสาน สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์) สกลมหาสังฆปริณายก ได้ประทานไฟพระฤกษ์จุดเทียนชัย
รุ่งขึ้นวันที่ 20 เมษายน 2524 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์อัครราชกุมารี ทรงประกอบพิธีเททองหล่อพระประธาน ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม โดยสมเด็จพระสังฆราช (วาสน์) สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จทรงเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้
ปาฏิหาริย์วันหล่อพระ
ในระหว่างพิธีเททองหล่อพระประธานได้เกิดปรากฏการณ์อันแสดงถึงพระบุญญาธิการและพระบรมเดชานุภาพอันเป็นสิริมงคลยิ่ง กล่าวคือ หลังจากทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จเททองเสร็จแล้วทันใดนั้นได้บังเกิดลมพัดและฝนตกลงมาอย่างหนักในบริเวณนั้นและเกิดประกายฟ้าได้พุ่งผ่านเข้ามาในบริเวณพิธีที่ประทับถึงเก้าครั้ง นับเป็นเหตุการณ์ที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก
ต่อมาในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2524 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้เสด็จพระราชดำเนินไปเป็นองค์ประธานในพิธีพุทธาภิเษก พระพุทธกันทรวิชัย อภิสมัยธรรมนายก เมื่อเวลา 09.29 นาฬิกา ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยมีสมเด็จพระสังฆราช (วาสน์) สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จทรงเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พิธีในวันนั้นได้มีพระเกจิอาจารย์จากทุกจังหวัดในภาคอีสานนั่งปรกตลอดทั้งวันด้วย
เนื่องจาก พระพุทธกันทรวิชัย อภิสมัยธรรมนายก ประดิษฐานเป็นพระประธานประจำสถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน คณะกรรมการดำเนินงานได้พิจารณาเห็นสมควรให้ประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ได้มีโอกาสเคารพสักการบูชาพระพุทธรูปนี้อย่างทั่วถึง จึงได้จำลองเป็นพระพุทธรูปบูชา ขนาดหน้าตักกว้าง 12 นิ้ว เพื่อนำไปประดิษฐานไว้ ณ สถานที่ต่าง ๆ คือ กองทัพภาคที่ 2 กองบัญชาการตำรวจภูธรเขต 2 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตกลาง ถนนประสานมิตร กรุงเทพมหานคร และศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ขณะนั้นมี 16 จังหวัด)
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2524 พระบาทสมเด็จพระเจ้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะกรรมการ อันประกอบด้วย แม่ทัพกองทัพภาคที่ 2 อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรเขต 2 และผุ้ว่าราชการจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าเฝ้าทุลละอองธุลีพระบาท เมื่อเวลา 19.30 นาฬิกา เพื่อรับพระราชทานพระพุทธกันทรวิชัย อภิสมัยธรรมนายก จำลอง ณ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร เพื่ออัญเชิญไปประดิษฐานยังหน่วยงานและศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัดในภาคอีสานนับเป็นสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลและพระมหารุณาธิคุณต่อพลนิกรโดยถ้วนหน้า สมควรจารึกไว้ในประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเวียนมาครบ 200 ปี ในระยะนั้นด้วย
ปัจจุบัน พระพุทธกันทรวิชัย อภิสมัยธรรมนายก ประดิษฐานภายให้หอพระ สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม(เขตพื้นที่ในเมือง) พระพุทธรูปสำคัญองค์นี้ ถือเป็นมิ่งขวัญและสิ่งยึดเหนี่ยวในการรวมพลังจิตใจของพุทธศาสนิกชนทั่วไป ให้ระลึกถึงพระรัตนตรัยและยึดมั่นในสถาบันหลักทั้งสาม ทำให้เกิดขวัญและกำลังใจที่ดีงามตลอดจนเกิดความรักและความสามัคคีระหว่างประชาชนชาวไทยโดยทั่วกัน
ที่มา: อาจารย์อาคม วรจินดา อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน